โถงห้องรอของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เด็กหญิงนึกย้อนไปถึงวันที่บิดาพาไปรับแว่นตาจากโรงพยาบาลของรัฐ มันเป็นวันที่อึมครึมไร้สีสัน เธอจำได้ว่าภายในโรงพยาบาลนั้นหนาวเย็น คนแก่ไอโคกครากอย่างน่าสงสาร เด็กเล็กๆร้องไห้ระงมราวกับนี่เป็นวันสิ้นโลกก็ไม่ปาน กลิ่นของยาแรงพอที่จะทำให้เธอหวั่นกลัว หน้าตาเศร้าสร้อยละห้อยหาของผู้ป่วยที่มารอรักษาก็ยิ่งทำให้น่าตื่นตระหนก ท่าทางผู้ป่วยที่ขยับเขยื้อนเชื่องช้าและท่าทีว่องไวของหมอนั้นสร้างให้เกิดภาพที่ขัดแย้งกันนัก ที่ผนังห้องด้านหนึ่ง มีภาพพยาบาลที่เอานิ้วมือหนึ่งนิ้วมาแตะที่ริมฝีปาก มีข้อความว่า “กรุณาอย่าส่งเสียงดัง” ไม่มีพยาบาลที่ไหนจะสวยอย่างคนในรูปนั้นหรอก เด็กหญิงยังจำได้ถึงสมุดปกแดง ที่บันทึกการดูแลสุขภาพที่ผู้เป็นพ่อรับมาจากประกันสังคม เนื่องจากพวกเขาฐานะยากจน สิบปีมาแล้วสินะ ตอนนั้นเธออายุได้แค่เจ็ดขวบและเพิ่งเข้าโรงเรียนประถมศึกษาปีแรก
ครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ในชุมชนเล็กๆกลางเมืองใหญ่ ในบ้านหลังเล็กที่มีสองห้อง บ้านหลังนี้พวกเขาสร้างมันขึ้นด้วยตัวเองบนเนื้อที่ซึ่งไม่ใช่ของพวกเขา จนกระทั่งหลายปีผ่านไปที่ดินผืนนั้นก็ยังคงมิใช่ของพวกเขา อยู่อย่างหวาดกลัวว่าสักวันหนึ่งตำรวจหรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะมาตรวจพร้อมกับเอกสารราชการ ที่แสดงสิทธิ์ในการรื้อบ้านที่เป็นทั้งชีวิตและความหวังของพวกเขา พ่อเคยบอกเธอว่าหากวันใดที่บ้านถูกรื้อถอนออก พวกเขาต้องจ่ายค่าชดเชยให้ แม่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักแต่ก็เก็บเอาไว้ในใจ แม่ไม่ได้เรียนมามากนักจึงไม่คิดว่าตนเองจะแสดงความคิดเห็นอะไรได้ แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วเธอจะมีเหตุมีผลกว่าผู้เป็นสามีเสียอีก
พ่อของเด็กหญิงทำงานในโรงงานผลิตรถยนต์ เอาแต่ฟังเรื่องราวของคนรวยในเมืองและเชื่อตามที่ได้ยินมา การมองโลกในแบบของพ่อจึงแตกต่างไปจากแม่ แม่ไม่เคยสนใจฟังเรื่องแบบนั้น แม่ทำตัวเป็นดังก้อนหินที่ถูกทิ้งไว้ใต้สะพาน แม่เชื่อในสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากชนบท เมืองใหญ่นี้ไม่มีอะไรให้เธอเรียนรู้ แม่เกลียดมันและเกลียดสีทึมๆของมัน
วันแรกที่เธอไปโรงเรียนก็เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ เธอจำได้ว่าดีใจ แต่หลังจากสองถึงสามสัปดาห์ความสุขก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลกับสิ่งที่อยู่บนกระดานดำ เธอมองไม่เห็นรายละเอียดในสิ่งที่อยู่บนนั้น ตัวอักษรทุกตัวมันเหมือนกันหมด เพื่อนในห้องอ่านออกเสียง ป.ปลา แต่เธอเห็นเป็นตัว บ.ใบไม้ บางทีก็เป็นตัว ข.ไข่ พ่อของเธอโมโหมากเวลาที่เธอตอบไม่ถูกต้อง เธอทำอะไรไม่ได้และรู้สึกว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่แต่เธอตัวเล็กเหลือเกิน
วันหนึ่ง คุณครูเชิญแม่เธอไปพบที่โรงเรียน แม่เดินฝ่าความหนาวเย็นในยามเช้าที่มีหมอกและฝนตกปรอยๆไปพบครู แม้จะไม่เคยไปที่โรงเรียนเลยสักครั้งแต่แม่ของเธอก็เคารพคุณครูอย่างนอบน้อม อย่างที่คนต่างจังหวัดพึงมี พวกเขาอพยพมาจากด้าว เดินทางมาไกลเพื่อมาอยู่ที่นี่ จากชีวิตที่มีความรื่นรมย์สุขีมาสู่เมืองแห่งความโลภ
ชีวิตในวัยเยาว์ของเด็กหญิงจึงเป็นสีเทา บ้านเมืองเป็นสีเทา แทบทุกอย่างจะเป็นสีเทา
เธอได้แว่นตาอันแรกตอนเมื่อเธออายุได้เจ็ดขวบ มีกรอบสีดำหนาๆและเลนส์ที่หนาไม่แพ้กัน ครั้งแรกที่ใส่เธอรู้สึกว่ามันครอบไปทั้งหน้า แต่เธอก็ค่อยๆดูไปรอบๆ
“มันดูดีขึ้นค่ะ” เธอบอกกับจักษุแพทย์ที่สวนแว่นตากรอบสีดำหนาคล้ายๆกับที่เธอสวมอยู่ รู้สึกดีขึ้นเป็นคนสำคัญขึ้น สำคัญเทียบเท่ากับคุณหมอเพราะเธอสวมแว่นตาแบบเดียวกับที่หมอสวมเชียวนะ
หมอให้เธออ่านตัวอักษรบนแป้นที่อยู่ห่างออกไปสาม สี่เมตร เธออ่านได้เกือบทั้งหมดเลย
หมอบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็โอเคนะครับ” แล้วตะโกน “คนต่อไป”
ปีแรกกับแว่นตาคู่นี้มันช่างสดใส เธอชอบสวมมันเพราะมันทำให้รู้สึกว่าเป็นคนสำคัญกว่าคนรอบข้าง นอกจากนั้นเธอยังรู้สึกว่าสีสันรอบตัวดูสว่างสไวชัดเจนกว่าที่เคยเห็นมา แต่เมืองใหญ่ที่เธออยู่ก็ยังคงเป็นสีเทา ชีวิตก็ยังคงลำบากเหมือนเดิม แม่บอกให้เธอตั้งใจเรียนเพื่อโตมาจะได้เป็นครู แต่เธอยังไม่รู้ว่าการเป็นครูมันหมายถึงอะไร เธอชอบที่จะตะโกนร้องส่งเสียงเฮฮา และวิ่งเล่นมากกว่า
พออายุได้สิบขวบ เธอต้องเปลี่ยนแว่นอันใหม่ พ่อลางานภาคเช้าพาเธอไปโรงพยาบาล คราวนี้ไม่ใช่หมอคนเดิมแต่ที่เหมือนคนเดิมคือแว่นตาที่หมอสวมอยู่ แค่บางกว่าและกว้างกว่าเล็กน้อย เธออยากได้กรอบแว่นตาสีฟ้าแต่ก็กลัวว่ากรอบสีฟ้าจะแพงกว่าสีดำที่เธอเคยใช้ พ่อคงจะอารมณ์เสียได้ด้วย เด็กหญิงจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา และเดินกลับบ้านพร้อมกับแว่นตากรอบสีดำหนาๆเหมือนเดิม ไม่มีใครสังเกตได้ว่าเธอเปลี่ยนแว่นอันใหม่ ไม่มีใครเห็นว่าเธอโตขึ้น
วันปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธอสำเร็จการศึกษามัธยมปลาย ได้รับใบประกาศและนำไปให้พ่อเธอดู แว่นตาเปรียบดังสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จนี้ เธอไม่เคยรักใครแบบหนุ่มสาว และไม่เคยถูกรักจากเด็กผู้ชายคนใด กรอบแว่นหนาๆป้องกันเธอไว้เฉกเช่นเดียวกับกำแพงสูงของปราสาทที่ป้องกันพลเมืองจากอริราชศัตรูภายนอก ไม่มีกุหลาบดอกใดสามารถผ่านกำแพงสีดำของเธอเข้ามาได้ ไม่มีตาคู่งามใดจะมองทะลุมาสู่ตาของเธอ ดวงตาที่อยู่เบื้อหลังเลนส์คู่หนานั้น ประกันสังคมประสบความสำเร็จอย่างสูงในการป้องกันดวงตาคู่สวยของเธอให้พ้นจากการจ้องมองของเด็กหนุ่มทั้งหลายแหล่
ช่วงปิดภาคฤดูร้อน สาวน้อยขออนุญาตผู้เป็นพ่อเพื่อไปทำงานเป็นลูกจ้างในร้านขายยาที่อยู่ติดกับโรงเรียน สิ่งที่เธอปรารถนาคือแว่นตาอันใหม่ ที่ไม่ใช่มาจากประกันสังคม แต่มาจากน้ำพักน้ำแรงตนเอง ตอนแรกพ่อเธอปฏิเสธแต่สักพักก็เลิกคิดกังวล และอนุญาตให้เธอไปทำงานในที่สุด ทำงานในร้านขายยาไปได้สามเดือนก็มีเงินพอสำหรับแว่นตาอันใหม่
ในห้องรอที่เย็นฉ่ำ เก้าอี้ถูกคลุมด้วยปลอกผ้าสวยงาม เธอนั่งรอจนกว่าผู้ป่วยในห้องตรวจจะออกมา ผนังห้องทาด้วยสีฟ้า โต๊ะของพนักงานต้อนรับคลุมด้วยผ้าสีเขียวอ่อนสบายตา แล้วยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้คละคลุ้งไปทั่วห้อง แม้จะหาต้นตอของความหอมไม่พบ เท่าที่เห็นก็มีเพียงกระถางดอกไม้ทำจากพลาสติกขนาดย่อม บนโต๊ะเล็กๆข้างตัวเธอ ลองก้มลงดมดูเล็กน้อยแต่ก็เลิกทำ เพราะไม่อยากขายหน้าต่อหน้าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงนั้น และเนื่องจากแว่นตาหนาเตอะที่ล้าสมัยนี้ เธอเกรงว่าเจ้าหน้าที่จะคิดว่าเธอตาบอดหรือเกือบจะบอด จึงหยิบนิตยสารจากตะกร้าที่อยู่ข้างๆมาเปิดอ่าน อ่านไปได้ไม่เท่าไรก็เบื่อขึ้นมา ในตอนนั้นเธอหารู้ไม่ว่า มิใช่เนื้อเรื่องหรอกที่ทำให้เธอเบื่อ นั่งรอต่ออีกสักพักหมอก็ปรากฎกายออกมาจากห้องด้วยรอยยิ้ม หมอใส่แว่นตาเช่นกันแต่เป็นแว่นตาที่ไม่มีกรอบ
“หมอมองดูโลกอย่างไม่ต้องมีกรอบ” เธอบอกกับตัวเอง อย่างตะลึงพึงเพริศ
ใช้เวลาห้านาทีในการตวจวัดสายตา จักษุแพทย์เสนอให้เธอลองใช้เลนส์ขนาดต่างๆที่เหมาะกับสายตาเธอ เธอเพิ่งค้นพบว่าตาสองข้างของเธอมีขนาดสั้นยาวไม่เท่ากัน เป็นเวลากว่าสิบปีที่เธอใช้แว่นตาที่สองข้างมีขนาดเท่ากัน หมอท่านนี้บอกว่านั่นทำให้สายตาของเธอแย่ลง อย่างไรก็ตามสายตาเธอทั้งสองข้างก็แตกต่างกันมากอยู่ดี
คุณหมอหยิบเลนส์ขนาดต่างกันสองชิ้นมาให้เธอลองใช้ “อันนี้สำหรับตาซ้าย และนี่สำหรับตาขวานะ” หมอบอก และเธอทำตามแต่โดยดี
สิ่งแรกที่เธอมองเห็นคือ ดวงตาสีเขียวเข้มของคุณหมอ เธอตกใจกับสิ่งที่เห็น ก่อนหน้านั้นเธอไม่รู้เลยว่ามีสีเขียวแบบนั้นอยู่ในโลกนี้ด้วย เธอถือเลนส์ด้วยสองมือเดินไปที่หน้าต่างช้าๆแล้วทาบเลนส์ลงที่ตาสองข้าง มองออกไปยังนอกหน้าต่าง เห็นคลื่นแตกกระเซ็นในทะเลที่อยู่ไกลออกไป แต่มันชัดเจนเหลือเกิน มองดูเหมือนสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหว บางครั้งก็เคลื่อนตัวเข้าหาเธอ ขนาดใหญ่ขึ้นและยังเป็นประกายระยิบระยับ
“ทะเลมีชีวิต” เธอคิดในใจ
มองออกไปเห้นต้นไม้ นกท้องฟ้า และผู้คนที่เดินขวักไขว่บนท้องถนน สิ่งต่างๆดูแปลกใหม่สำหรับเธอ ราวกับว่าเธอหายจากการตาบอด ได้มองดูสิ่งต่างๆอย่างพินิจพิเคราะห์เป็นครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้เห็นสีสันที่แท้จริงรอบตัวเธอ คิดไม่ออกว่าจะบอกกับหมออย่างไรดี เลยรอจนกว่าหมอจะเริ่มพูดอะไรก่อน เธอยิ้มร่าด้วยรู้สึกที่จะได้เห็นสิ่งสวยงามอีกมากมาย ซึ่งสวยกว่าที่เคยเห็นมาก่อน ด้วยเลนส์สองอันนี้ในมือเธอ
คุณหมอกลับมาที่เธอแล้วถามว่า “มองเห็นชัดขึ้นไหมจ๊ะ”
ไม่อาจสรรหาคำใดมาตอบ คำว่า “ชัดเจนขึ้น” ยังอธิบายไม่ครอบคลุม หากที่เห็นนี้คือสีที่แท้จริง แล้วสิบปีที่ผ่านมาหละ
“ค่ะ” เธอตอบอย่างรีบเร่ง
หมอพูดว่า “อย่างนั้นก็โอเค” ลังเลกลัวว่าจะทำให้เธอผิดหวัง
“หนูวางเลนส์ทั้งคู่ไว้ที่นี่ แล้วไปเลือกกรอบนะ”
“พอจะเป็นไปได้ไหมคะ ที่จะได้แว่นตาวันนี้” เธอถามอย่างช้าๆ และไม่มั่นใจในน้ำเสียง
คุณหมอหยิบเลนส์ไปจากมือเธอแล้วตอบว่า “ได้สิจ๊ะ ถ้าเธอรอสักสองชั่วโมง หมอจะให้ช่างเขาทำให้ทันเวลา”
เธอยิ้มออกมาและตอบว่า “หนูจะรอค่ะ”
หลังจากเลือกกรอบแว่นตาขนาดเล็กและเป็นแบบโปร่งแล้ว สาวน้อยก็ออกมานั่งรอที่เก้าอี้ตัวเดิมแล้วหลับตาไว้ตลอดสองชั่วโมงนั้น คิดฝันไปว่าวันเก่าๆในชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไร หากมีสีแบบที่เธอเพิ่งเห็นมากับตา เธอเก็บภาพทะเลสีฟ้าครามสดใสไว้ในใจ ต้นไม้ข้างนอกกำลังรอเธออยู่ เธอได้กลิ่นในห้องนั้นแรงขึ้น และเสียงที่ดังชัดขึ้น รู้สึกว่ามีตัวตนมากขึ้น ทั้งที่ยังไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร เธอไม่ยอมลืมตาขึ้นจนกว่าจะได้แว่นตาอันใหม่
Written by A.A.
Translated by J.A.
ครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ในชุมชนเล็กๆกลางเมืองใหญ่ ในบ้านหลังเล็กที่มีสองห้อง บ้านหลังนี้พวกเขาสร้างมันขึ้นด้วยตัวเองบนเนื้อที่ซึ่งไม่ใช่ของพวกเขา จนกระทั่งหลายปีผ่านไปที่ดินผืนนั้นก็ยังคงมิใช่ของพวกเขา อยู่อย่างหวาดกลัวว่าสักวันหนึ่งตำรวจหรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะมาตรวจพร้อมกับเอกสารราชการ ที่แสดงสิทธิ์ในการรื้อบ้านที่เป็นทั้งชีวิตและความหวังของพวกเขา พ่อเคยบอกเธอว่าหากวันใดที่บ้านถูกรื้อถอนออก พวกเขาต้องจ่ายค่าชดเชยให้ แม่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักแต่ก็เก็บเอาไว้ในใจ แม่ไม่ได้เรียนมามากนักจึงไม่คิดว่าตนเองจะแสดงความคิดเห็นอะไรได้ แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วเธอจะมีเหตุมีผลกว่าผู้เป็นสามีเสียอีก
พ่อของเด็กหญิงทำงานในโรงงานผลิตรถยนต์ เอาแต่ฟังเรื่องราวของคนรวยในเมืองและเชื่อตามที่ได้ยินมา การมองโลกในแบบของพ่อจึงแตกต่างไปจากแม่ แม่ไม่เคยสนใจฟังเรื่องแบบนั้น แม่ทำตัวเป็นดังก้อนหินที่ถูกทิ้งไว้ใต้สะพาน แม่เชื่อในสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากชนบท เมืองใหญ่นี้ไม่มีอะไรให้เธอเรียนรู้ แม่เกลียดมันและเกลียดสีทึมๆของมัน
วันแรกที่เธอไปโรงเรียนก็เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ เธอจำได้ว่าดีใจ แต่หลังจากสองถึงสามสัปดาห์ความสุขก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลกับสิ่งที่อยู่บนกระดานดำ เธอมองไม่เห็นรายละเอียดในสิ่งที่อยู่บนนั้น ตัวอักษรทุกตัวมันเหมือนกันหมด เพื่อนในห้องอ่านออกเสียง ป.ปลา แต่เธอเห็นเป็นตัว บ.ใบไม้ บางทีก็เป็นตัว ข.ไข่ พ่อของเธอโมโหมากเวลาที่เธอตอบไม่ถูกต้อง เธอทำอะไรไม่ได้และรู้สึกว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่แต่เธอตัวเล็กเหลือเกิน
วันหนึ่ง คุณครูเชิญแม่เธอไปพบที่โรงเรียน แม่เดินฝ่าความหนาวเย็นในยามเช้าที่มีหมอกและฝนตกปรอยๆไปพบครู แม้จะไม่เคยไปที่โรงเรียนเลยสักครั้งแต่แม่ของเธอก็เคารพคุณครูอย่างนอบน้อม อย่างที่คนต่างจังหวัดพึงมี พวกเขาอพยพมาจากด้าว เดินทางมาไกลเพื่อมาอยู่ที่นี่ จากชีวิตที่มีความรื่นรมย์สุขีมาสู่เมืองแห่งความโลภ
ชีวิตในวัยเยาว์ของเด็กหญิงจึงเป็นสีเทา บ้านเมืองเป็นสีเทา แทบทุกอย่างจะเป็นสีเทา
เธอได้แว่นตาอันแรกตอนเมื่อเธออายุได้เจ็ดขวบ มีกรอบสีดำหนาๆและเลนส์ที่หนาไม่แพ้กัน ครั้งแรกที่ใส่เธอรู้สึกว่ามันครอบไปทั้งหน้า แต่เธอก็ค่อยๆดูไปรอบๆ
“มันดูดีขึ้นค่ะ” เธอบอกกับจักษุแพทย์ที่สวนแว่นตากรอบสีดำหนาคล้ายๆกับที่เธอสวมอยู่ รู้สึกดีขึ้นเป็นคนสำคัญขึ้น สำคัญเทียบเท่ากับคุณหมอเพราะเธอสวมแว่นตาแบบเดียวกับที่หมอสวมเชียวนะ
หมอให้เธออ่านตัวอักษรบนแป้นที่อยู่ห่างออกไปสาม สี่เมตร เธออ่านได้เกือบทั้งหมดเลย
หมอบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็โอเคนะครับ” แล้วตะโกน “คนต่อไป”
ปีแรกกับแว่นตาคู่นี้มันช่างสดใส เธอชอบสวมมันเพราะมันทำให้รู้สึกว่าเป็นคนสำคัญกว่าคนรอบข้าง นอกจากนั้นเธอยังรู้สึกว่าสีสันรอบตัวดูสว่างสไวชัดเจนกว่าที่เคยเห็นมา แต่เมืองใหญ่ที่เธออยู่ก็ยังคงเป็นสีเทา ชีวิตก็ยังคงลำบากเหมือนเดิม แม่บอกให้เธอตั้งใจเรียนเพื่อโตมาจะได้เป็นครู แต่เธอยังไม่รู้ว่าการเป็นครูมันหมายถึงอะไร เธอชอบที่จะตะโกนร้องส่งเสียงเฮฮา และวิ่งเล่นมากกว่า
พออายุได้สิบขวบ เธอต้องเปลี่ยนแว่นอันใหม่ พ่อลางานภาคเช้าพาเธอไปโรงพยาบาล คราวนี้ไม่ใช่หมอคนเดิมแต่ที่เหมือนคนเดิมคือแว่นตาที่หมอสวมอยู่ แค่บางกว่าและกว้างกว่าเล็กน้อย เธออยากได้กรอบแว่นตาสีฟ้าแต่ก็กลัวว่ากรอบสีฟ้าจะแพงกว่าสีดำที่เธอเคยใช้ พ่อคงจะอารมณ์เสียได้ด้วย เด็กหญิงจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา และเดินกลับบ้านพร้อมกับแว่นตากรอบสีดำหนาๆเหมือนเดิม ไม่มีใครสังเกตได้ว่าเธอเปลี่ยนแว่นอันใหม่ ไม่มีใครเห็นว่าเธอโตขึ้น
วันปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธอสำเร็จการศึกษามัธยมปลาย ได้รับใบประกาศและนำไปให้พ่อเธอดู แว่นตาเปรียบดังสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จนี้ เธอไม่เคยรักใครแบบหนุ่มสาว และไม่เคยถูกรักจากเด็กผู้ชายคนใด กรอบแว่นหนาๆป้องกันเธอไว้เฉกเช่นเดียวกับกำแพงสูงของปราสาทที่ป้องกันพลเมืองจากอริราชศัตรูภายนอก ไม่มีกุหลาบดอกใดสามารถผ่านกำแพงสีดำของเธอเข้ามาได้ ไม่มีตาคู่งามใดจะมองทะลุมาสู่ตาของเธอ ดวงตาที่อยู่เบื้อหลังเลนส์คู่หนานั้น ประกันสังคมประสบความสำเร็จอย่างสูงในการป้องกันดวงตาคู่สวยของเธอให้พ้นจากการจ้องมองของเด็กหนุ่มทั้งหลายแหล่
ช่วงปิดภาคฤดูร้อน สาวน้อยขออนุญาตผู้เป็นพ่อเพื่อไปทำงานเป็นลูกจ้างในร้านขายยาที่อยู่ติดกับโรงเรียน สิ่งที่เธอปรารถนาคือแว่นตาอันใหม่ ที่ไม่ใช่มาจากประกันสังคม แต่มาจากน้ำพักน้ำแรงตนเอง ตอนแรกพ่อเธอปฏิเสธแต่สักพักก็เลิกคิดกังวล และอนุญาตให้เธอไปทำงานในที่สุด ทำงานในร้านขายยาไปได้สามเดือนก็มีเงินพอสำหรับแว่นตาอันใหม่
ในห้องรอที่เย็นฉ่ำ เก้าอี้ถูกคลุมด้วยปลอกผ้าสวยงาม เธอนั่งรอจนกว่าผู้ป่วยในห้องตรวจจะออกมา ผนังห้องทาด้วยสีฟ้า โต๊ะของพนักงานต้อนรับคลุมด้วยผ้าสีเขียวอ่อนสบายตา แล้วยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้คละคลุ้งไปทั่วห้อง แม้จะหาต้นตอของความหอมไม่พบ เท่าที่เห็นก็มีเพียงกระถางดอกไม้ทำจากพลาสติกขนาดย่อม บนโต๊ะเล็กๆข้างตัวเธอ ลองก้มลงดมดูเล็กน้อยแต่ก็เลิกทำ เพราะไม่อยากขายหน้าต่อหน้าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงนั้น และเนื่องจากแว่นตาหนาเตอะที่ล้าสมัยนี้ เธอเกรงว่าเจ้าหน้าที่จะคิดว่าเธอตาบอดหรือเกือบจะบอด จึงหยิบนิตยสารจากตะกร้าที่อยู่ข้างๆมาเปิดอ่าน อ่านไปได้ไม่เท่าไรก็เบื่อขึ้นมา ในตอนนั้นเธอหารู้ไม่ว่า มิใช่เนื้อเรื่องหรอกที่ทำให้เธอเบื่อ นั่งรอต่ออีกสักพักหมอก็ปรากฎกายออกมาจากห้องด้วยรอยยิ้ม หมอใส่แว่นตาเช่นกันแต่เป็นแว่นตาที่ไม่มีกรอบ
“หมอมองดูโลกอย่างไม่ต้องมีกรอบ” เธอบอกกับตัวเอง อย่างตะลึงพึงเพริศ
ใช้เวลาห้านาทีในการตวจวัดสายตา จักษุแพทย์เสนอให้เธอลองใช้เลนส์ขนาดต่างๆที่เหมาะกับสายตาเธอ เธอเพิ่งค้นพบว่าตาสองข้างของเธอมีขนาดสั้นยาวไม่เท่ากัน เป็นเวลากว่าสิบปีที่เธอใช้แว่นตาที่สองข้างมีขนาดเท่ากัน หมอท่านนี้บอกว่านั่นทำให้สายตาของเธอแย่ลง อย่างไรก็ตามสายตาเธอทั้งสองข้างก็แตกต่างกันมากอยู่ดี
คุณหมอหยิบเลนส์ขนาดต่างกันสองชิ้นมาให้เธอลองใช้ “อันนี้สำหรับตาซ้าย และนี่สำหรับตาขวานะ” หมอบอก และเธอทำตามแต่โดยดี
สิ่งแรกที่เธอมองเห็นคือ ดวงตาสีเขียวเข้มของคุณหมอ เธอตกใจกับสิ่งที่เห็น ก่อนหน้านั้นเธอไม่รู้เลยว่ามีสีเขียวแบบนั้นอยู่ในโลกนี้ด้วย เธอถือเลนส์ด้วยสองมือเดินไปที่หน้าต่างช้าๆแล้วทาบเลนส์ลงที่ตาสองข้าง มองออกไปยังนอกหน้าต่าง เห็นคลื่นแตกกระเซ็นในทะเลที่อยู่ไกลออกไป แต่มันชัดเจนเหลือเกิน มองดูเหมือนสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหว บางครั้งก็เคลื่อนตัวเข้าหาเธอ ขนาดใหญ่ขึ้นและยังเป็นประกายระยิบระยับ
“ทะเลมีชีวิต” เธอคิดในใจ
มองออกไปเห้นต้นไม้ นกท้องฟ้า และผู้คนที่เดินขวักไขว่บนท้องถนน สิ่งต่างๆดูแปลกใหม่สำหรับเธอ ราวกับว่าเธอหายจากการตาบอด ได้มองดูสิ่งต่างๆอย่างพินิจพิเคราะห์เป็นครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้เห็นสีสันที่แท้จริงรอบตัวเธอ คิดไม่ออกว่าจะบอกกับหมออย่างไรดี เลยรอจนกว่าหมอจะเริ่มพูดอะไรก่อน เธอยิ้มร่าด้วยรู้สึกที่จะได้เห็นสิ่งสวยงามอีกมากมาย ซึ่งสวยกว่าที่เคยเห็นมาก่อน ด้วยเลนส์สองอันนี้ในมือเธอ
คุณหมอกลับมาที่เธอแล้วถามว่า “มองเห็นชัดขึ้นไหมจ๊ะ”
ไม่อาจสรรหาคำใดมาตอบ คำว่า “ชัดเจนขึ้น” ยังอธิบายไม่ครอบคลุม หากที่เห็นนี้คือสีที่แท้จริง แล้วสิบปีที่ผ่านมาหละ
“ค่ะ” เธอตอบอย่างรีบเร่ง
หมอพูดว่า “อย่างนั้นก็โอเค” ลังเลกลัวว่าจะทำให้เธอผิดหวัง
“หนูวางเลนส์ทั้งคู่ไว้ที่นี่ แล้วไปเลือกกรอบนะ”
“พอจะเป็นไปได้ไหมคะ ที่จะได้แว่นตาวันนี้” เธอถามอย่างช้าๆ และไม่มั่นใจในน้ำเสียง
คุณหมอหยิบเลนส์ไปจากมือเธอแล้วตอบว่า “ได้สิจ๊ะ ถ้าเธอรอสักสองชั่วโมง หมอจะให้ช่างเขาทำให้ทันเวลา”
เธอยิ้มออกมาและตอบว่า “หนูจะรอค่ะ”
หลังจากเลือกกรอบแว่นตาขนาดเล็กและเป็นแบบโปร่งแล้ว สาวน้อยก็ออกมานั่งรอที่เก้าอี้ตัวเดิมแล้วหลับตาไว้ตลอดสองชั่วโมงนั้น คิดฝันไปว่าวันเก่าๆในชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไร หากมีสีแบบที่เธอเพิ่งเห็นมากับตา เธอเก็บภาพทะเลสีฟ้าครามสดใสไว้ในใจ ต้นไม้ข้างนอกกำลังรอเธออยู่ เธอได้กลิ่นในห้องนั้นแรงขึ้น และเสียงที่ดังชัดขึ้น รู้สึกว่ามีตัวตนมากขึ้น ทั้งที่ยังไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร เธอไม่ยอมลืมตาขึ้นจนกว่าจะได้แว่นตาอันใหม่
Written by A.A.
Translated by J.A.
Hiç yorum yok:
Yorum Gönder