Bu Blogda Ara

19 Ocak 2012

Empty (with Lyrics)

I don't have much time to write these days and while working on students' marks or reports, I keep listening to Ray LaMontagne. I love the song below, the lyrics are well-written and his voice is very smooth. The melancholy in the words may not fit the spirit of vacation but still they are nicely put together.

On Saturday, I am going away and will start writing my 10 days-trip on daily base. Keep following the pages...



She lifts her skirt up to her knees,
walks through the garden rows with her bare feet, laughing.
I never learned to count my blessings,
I choose instead to dwell in my disasters.
I walk on down the hill,
through grass, grown tall and brown
and still its hard somehow to let go of my pain.
On past the busted back of that old and rusted Cadillac
that sinks into this field, collecting rain.
Will I always feel this way?
So empty, so estranged.

And of these cut-throat busted sunsets,
these cold and damp quiet mornings
I have grown weary.
If through my cracked and dusted dime-store lips
I spoke these words out loud would no one hear me?
Lay your blouse across the chair,
let fall the flowers from from your hair
and kiss me with that country mouth, so plain.
Outside, the rain is tapping on the leaves,
to me it sounds like they're applauding us the the quiet love we've made.
Will I always feel this way?
So empty, so estranged.

Well I looked my demons in the eyes,
laid bare my chest, said "Do your best, destroy me.
You see, I've been to hell and back so many times,
I must admit you kind of bore me."
There's a lot of things that can kill a man,
there's a lot of ways to die,
listen, some already did that walked beside me.
There's a lot of things I don't understand,
why so many people lie.
Its their hurt I hide that fuels the fire inside me.
Will I always feel this way?
So empty, so estranged.

11 Ocak 2012

The Semi-Terminal (Thai Version)

ทันทีที่ผมวางหนังสือเดินทางที่เคาท์เตอร์ตรวจคนเข้าเมืองในสนามบินนานาชาติของกรุงนิวยอร์ก ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งปรากฏกายออกมา อันที่จริงแล้วเขาตามผมมาตั้งแต่ผมออกจากเครื่องบิน ผมทำเป็นไม่เห็นเขาเพื่อจะไม่ดูมีพิรุธ แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรได้ เพราะเขาไม่พยายามแอบเลย ตำรวจนายนี้คว้าเอาหนังสือเดินทางของผมไปก่อนสุภาพสตรีที่นั่งอยู่เสียอีก “คุณมาจากตุรกีเหรอ” เขาถามด้วยเสียงทุ้มต่ำเป็นงานเป็นการ
- ครับผมมาจากตุรกี ทำไมครับ มีอะไรผิดปกติกับหนังสือเดินทางหรือวีซ่าไหมครับ
- เปล่า เปล่า ไม่น่ามีอะไรผิดกับวีซ่านายหรอกนะ ก็แค่ ฉันไม่เคยเห็นคนตุรกีคนไหนที่ผมบลอนด์ทองมาก่อน นายย้อมสีผมก่อนเดินทางมานี่รึเปล่า
- เปล่านะครับ นี่สีผมจริง คนที่ผมสีทองมีมากมายในตุรกีและพวกเขาก็เป็นคนตุรกี ไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดอะไรในประเทศผมเลย อย่างน้อยก็แถบที่ผมอยู่ ผมเดาว่าเราเป็นทายาทสืบเชื้อสายของชาวโรมันหรือกรีก ที่มาจากแถบทะเลดำนะครับ
- อืม ฉันขอบอกว่าคนตุรกีผมบลอนด์หนะอันตรายกว่าอะไรทั้งนั้น อาจเป็นการอำพรางตัว ฉันว่าถ้านายมีวาระซ่อนแร้นในใจอะไรหละก็นะ
- อันตรายงั้นหรือ คุณหมายความว่ายังไงกับคำว่าอันตราย ผมทำอะไรผิด แล้วจะพรางตัวทำไมนี่
- นายยังไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ฉันกำลังหาคำตอบของเรื่องนี้อยู่ ว่านายมีจุดประสงค์ในการจะทำอะไรที่ผิด นายอะห์เหม็ท บาซัคเม็ด นี่ชื่อนายเหรอ ฟังฉันนะ นายเป็นมุสลิมหรือเปล่า
- ผมชื่ออะห์เหม็ท ถูกต้อง แต่ผมไม่ใช่มุสลิม
- เป็นไปได้อย่างไร นายไม่ได้มาจากตุรกีหรือไงนี่ ชื่อนายหนะมุสลิมชัดๆ
- ถูกต้องแล้วครับ ผมมาจากตุรกีและมีชื่ออาราบิก แต่ผมไม่คิดว่าผมเชื่อในพระเจ้าองค์ใด และไม่คิดหรอกนะว่าคนตุรกีทั้งหมดจะเป็นมุสลิม เข้าใจไหมครับ คราวนี้จะให้คนตุรกีที่ไม่ใช่มุสลิมเข้าประเทศคุณได้ไหมครับ
- นายพิสูจน์ซิ
- พิสูจน์อะไร
- พิสูจน์ว่านายไม่ใช่มุสลิมทั้งที่ในพาสปอร์ตบอกว่านายนับถืออิสลาม
- เฮ่อ ในตุรกีนั้นการเป็นเอเธสคือไม่เชื่อเรื่องศาสนาและพระเจ้านั้น ยังไม่ระบุว่าว่าเป็นศาสนา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเอเธสในตุรกี ที่คุณเห็นในพาสปอร์ตผมนั้นคือศาสนาที่พ่อแม่ผมนับถือตั้งแต่เมื่อครั้งที่ท่านทั้งสองคิดว่าผมจะเชื่อในสิ่งที่พวกท่านเชื่อ แต่ก็เอาเถอะ ผมไม่ทำแล้วก็ไม่สามารถทำ ผมไม่รู้ว่าคนหนึ่งจะพิสูจน์ความเชื่อ หรือการไม่เชื่อของตัวเองอย่างไร คุณจะจับผมไปเข้าเครื่องจับเท็จไหมหละ บางทีอาจจะยังมีคำลวงจากครอบครัวผมเหลืออยู่ หรือไม่ก็เครื่องเอกซเรย์สมองเป็นไง จะได้เห็นหากยังมีเซลล์บางตัวที่ใช้ชื่อของพระเจ้า แต่ผมก็สงสัยอยู่เพราะว่าได้ลบออกไปนานแล้ว คุณหละนับถือศาสนาอะไร เป็นคริสต์หรือเปล่า
- ไม่ใช่เรื่องของนาย
- อ้าวถ้างั้นลองพิสูจน์สิว่าศาสนาของคุณคือ ไม่ใช่เรื่องของผม
- นี่นายล้อเลียนที่ฉันถามเหรอ มันหน้าที่ของฉันที่จะถามนาย หากนายยังขืนทำแบบนี้ฉันจะจับนายไปขัง จงตอบคำถาม เอาหละวัตถุประสงค์ของการมาครั้งนี้คืออะไร
- ผมได้เขียนวัตถุประสงค์ไปแล้วอย่างน้อยสามครั้ง ในแบบฟอร์มการขอวีซ่า แล้วคุณก็ยังมาถามผมอีก ผมมางานศพเพื่อนและจะไม่อยู่นานเกินสองวัน โรงแรมก็ได้จองแล้ว ตั๋วเครื่องบินขากลับก็มีและยังมีงานที่ตุรกีที่ผมต้องกลับไปทำด้วย ไม่ได้คิดจะอยู่ในประเทศของคุณนานเกินความจำเป็นเลย
- งานศพเหรอ งานศพใคร
- เพื่อนของผมตายจากอุบัติเหตุ เราเคยเรียนอยู่คณะเดียวกันในมหาวิทยาลัย เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของผม ผมจึงต้องมางานศพให้ได้เพื่อมาลาครั้งสุดท้าย
- นายมีเบอร์ติดต่อที่อเมริกา ที่นอกเหนือจากโรงแรมไหม
- ไม่มีหรอกครับ คนๆเดียวที่ผมรู้จักได้ตายไปแล้วและวันนี้ก็มีงานศพเขา ฉะนั้นหากคุณต้องการผมก็มีแค่ที่อยู่ของเพื่อนผู้จากไป
- นั่นไม่ได้นะ ไม่มีคนที่มีชีวิตอยู่หรือไง
- ผมไม่รู้ ก็บอกแล้วไง เขายังโสดและเช่าอยู่อพาร์ทเม้นกับเพื่อน
- เขาชื่ออะไร
- อับดุลราห์มาน
- เป็นมุสลิมหรือเปล่า ฉันพนันได้เลยว่าเป็นแน่ๆ
- ใช่เขาเป็นมุสลิม เขาเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติตามหลักศาสนาเท่าที่เขาจะทำได้ แต่เราไม่เคยเอาเรื่องศาสนามาคุยกันนัก ดังนั้นผมจึงไม่สนใจว่าเขาจะเชื่อในอะไร เราคุยกันเฉพาะเรื่องเรียน เราเรียนเคมีเหมือนกัน
- เขามาจากไหนนะ
- เขาเป็นอเมริกัน แต่เดิมครอบครัวเขามาจากปากีสถานตั้งแต่ปี 1970
- อืม กลับมาที่เรื่องนาย นายบอกว่านายไม่ใช่มุสลิมแต่นายชื่อ อะห์เหม็ด ทำไมยังไงนะ
- ก็เพราะว่าพ่อแม่ผมเป็นมุสลิม และอะห์เหม็ดคือชื่อของปู่ผม มันเกี่ยวกันยังไงระหว่างชื่อคนกับศาสนาที่เขานับถือเนี่ย ชื่อคนนั้นมาจากพ่อแม่ตั้งให้แต่ศาสนาความเชื่อเป็นสิ่งที่คนเราเลือกจะเชื่อ คุณคิดดูให้ดีดีนะ
- ถ้างั้นนายก็คิดเรื่องศาสนาของนายมาอย่างลึกซึ้งแล้วสิ ขอฉันดูหนังสือในมือนั่นหน่อย
- ได้สิ แต่ว่าผมจะไปได้หรือยังหลังจากคุณดู ผมไม่อยากไปถึงงานศพสาย
- เรื่องนั้นต้องรอก่อนคุณอะห์เหม็ด ฉันยังไม่เชื่อว่านายไม่มีอะไรแอบแฝง ขอหนังสือนั่นก่อน โอ้อ้า อะไรนี่ หนังสือเคมี นายอ่านหนังสือเกี่ยวกับเคมีทำไม
- เพราะผมเป็นอาจารย์วิชาเคมีไงครับ ท่านครับผมมีสอนในเช้าวันจันทร์ ดังนั้นผมจึงต้องเตรียมการสอน
- ดูนี่สิ ว่านายมีอะไร การระเบิด ในบทนี้นายจะสอนวิธีการทำไดนาไมต์งั้นสินะ
- ก็ไม่เชิงอย่างนั้น มันว่าด้วยหลักเคมีของการระเบิด ไม่ใช่วิธีการทำระเบิด ผมไม่คิดว่าจะมีใครที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะไปทำไดนาไมต์ได้นะครับ นอกเหนือจากนั้น การรู้วิธีทำไดนาไมต์ก็ไม่ได้ทำให้คนคนนั้นเป็นฆาตกรไปได้ โนเบลเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ที่คิดค้นสร้างมัน น่าแปลกใจใช่ไหมหละเพราะว่าเขาเองที่เป็นคนริเริ่มรางวัลโนเบลขึ้นมา
- นายหมายความว่าหนังสือเล่มนี้ไม่มีพิษภัยใช่ไหม
- ใช่แล้วครับท่าน ไม่มีพิษภัยใดใดพอพอกับ สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ดนั่นเลยทีเดียว
- โอเค อะห์เหม็ด ฉันไม่รู้เกี่ยวกับเคมีมากนัก จึงไม่ขอเถียง แต่ก่อนที่จะก้าวเข้าแผ่นดินสหรัฐ หนังสือของนายจะถูกตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อความมั่นใจว่ามันจะไม่นำมาซึ่งภัยอันตรายต่อพลเมืองของเรา
- แต่มันจะเป็นการเสียเวลามากนะครับคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผมไม่มีเวลาในการรอมากนัก คุณเอาหนังสือนี่ไปแล้วปล่อยผมไปเถอะ
- ไม่ได้หรอกอะห์เหม็ด ฉันเกรงว่าจะทำอย่างนั้นไม่ได้ นายดูจะมีหลายอย่างปิดบังอำพรางไว้ นายมาจากตุรกีแต่นายผมบลอนด์ นายไม่นับถืออิสลาม คนคนเดียวที่นายรู้จักในสหรัฐได้ตายไปเมื่อวาน แล้วนายยังอ่านหนังสือเรื่องการระเบิด โดยรวมทั้งหมดแล้วกลิ่นมันตุตุพิกล ช่วยกรุณาตามฉันมาทางนี้ เกรงว่าจะปล่อยให้นายเข้าประเทศไม่ได้ ฉันต้องรายงานสถานะของนายให้หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของสนามบินนี้ทราบ พวกเขาจะจัดการกับนายเอง ไม่ใช่กับฉัน ปากกาไปไหนวะ ฉันขอยืมปากกานายหน่อย ปากกาฉันหายอีกแล้ว ขอบใจ เอาหละนั่งลง นายบอกว่านายย้อมผมเมื่อวานนี้ใช่ไหม

09 Ocak 2012

The Mosquito (Thai Version)

ภรรยาผมออกจากบ้านไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ในทันทีที่เธอหายวับไป ฝุ่นและสิ่งสกปรกก็เข้าปกคลุมบ้านนี้ เหมือนเรือที่กำลังจะล่ม น้ำทะลักเข้ามาจากทุกทิศทางด้วยพละกำลังมหาศาล ไม่มีใครหยุดเรือที่จะล่มได้หรอก ไม่ว่าจะมีมือกี่มือหรือขากี่ขา มันจะล่มในไม่ช้าก็เร็ว เมื่อตอนที่เธออยู่เรามีแต่ความรักกรุ่นไปทั่วบ้าน เราสัมผัสจูบกอดกันและกันในทั่วทุกห้อง บางครั้งเราทะเลาะเบาะแว้งกัน บางคราวจังหวะชีวิตก็ท้าทายเรา ให้เอาชนะคลื่นที่ถาโถมเข้ามาให้ผ่านพ้นไป เพื่อจะกลับมาสมานสมัคคีกันด้วยความรักและให้เกรียติกันเป็นเวลากว่าสามสิบปี แต่อาทิตย์ที่แล้วเธอก็จากไป เธอบอกว่า “ ฉันทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว” ผมไม่ทันได้ถามว่า “ทนอะไรไม่ไหว” ผมรู้ว่าอะไรที่หายไป แต่ผมไม่อยากจะพูดซ้ำซากกับสิ่งที่เราต่างรู้อยู่แล้ว เธอจากผมไปและชีวิตผมก็เปลี่ยนไปในเวลาสัปดาห์เดียว เดี๋ยวนี้ผมไปทำงานสายและกลับบ้านหลังเที่ยงคืนนู่นเลย วันนี้ผมทำเป็นไม่แยแสต่อสายตาผู้จัดการซึ่งมีอยู่ตามปกติทุกหนแห่ง ผมไปถึงที่ทำงานตอนใกล้เที่ยง พอเลิกงานก็ไปดื่มกับเพื่อนๆ แล้วบ่นเรื่องเมียและความหนักใจอันเกินทนของชีวิตแต่งงานที่ไม่มีลูกให้พวกเขาฟัง

ผมกลับถึงบ้านเที่ยงคืนเล็กน้อยและสิ่งแรกที่กระแทกจมูกผมคือกลิ่นสกปรกของพื้นห้อง ใช้เวลากว่าห้านาทีความหาไม้ขีดในครัวแต่ก็หาไม่เจอ ไปเจอที่ห้องรับแขกที่ใต้โซฟา คิดว่าบุหรี่สักตัวก่อนนอนคงดีไม่น้อย แต่กว่าจะหามันเจอก็เล่นเอาโมโหจนหมดอารมณ์ จึงนั่งอยู่บนโซฟาและตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไม และทำไม บ้านเริ่มหมุนคว้าง ผมมั่นใจเลยว่ากล่องไม้ขีดไฟมันต้องมีที่เก็บพิเศษสักแห่งในครัวแน่ ที่ช่องเล็กๆใต้เตาอบนั่น ภรรยาผมเก็บไว้ตรงนั้นเพราะว่ามันเป็นที่เดียวในครัวที่ไร้ไอน้ำจากการทำครัวจึงมั่นใจได้ว่าไม้ขีดไฟจะแห้ง บางทีผมยังรู้สึกอิจฉาไอ้เจ้ากล่องไม้ขีดไฟนี่เลย ที่มันยังมีที่เฉพาะพิเศษต่างหากที่ซึ่งปลอดภัยจากภยันตรายจากไอน้ำ กล่องไม้ขีดมาทำอะไรที่นี่หละในห้องรับแขกนี่นะ ภรรยาผมไม่เคยยอมให้ผมสูบบุหรี่ในห้องนี้พอเธอหนีไปผมจึงสำราญฤทัยดังหนูที่ไม่มีแมวคอยกวนใจ ว่าแต่ว่าโต๊ะตัวนี้มาทำอะไรที่หน้าประตู ใครเอาตัวต่อโดมิโน่มาวางเกะกะพื้นนี่ ฉันเดินไม่ได้แล้วนี่ ทั้งหมดเป็นเพราะเธอไม่อยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ

ทำไมเธอจากไป มันแค่การทะเลาะมีปากเสียงธรรมดาเหมือนคู่สามีภรรยาอื่นๆ จากไปหมายถึงหนีปัญหา เธอคิดว่าผมเป็นคนที่เกินจะรับไหวแล้วหรือ อย่างไรก็ตามเธอไปแล้วและผมก็แน่ใจว่าเอจะกลับมาภายในหนึ่งเดือนนี่หละ ผมมั่นใจเลยว่าเธอกำลังรอผมอยู่ ผมจะไปขอโทษเธอและแม่ของเธอ ผมจะจุมพิตหลังมือของแม่เธอ จะอ้อนวอนเธอ “ได้โปรดกลับมากับผมเถิด ผมขาดคุณไม่ได้” ไม่ไม่ไม่ ผมจะไม่ขอโทษอะไรทั้งนั้น ต่อให้ผมรู้ว่าผมจะตายอยู่รอมร่อในกองกะหล่ำปลีเน่าในบ้านนี้ ผมจะไปทำไม ผมจ้างแม่บ้านมาเก็บทำความสะอาดบ้านก็ได้และถ้าผมคอยจัดให้เป็นระเบียบหน่อยก็ไม่น่ามีปัญหา ผมมั่นใจและจะไม่รู้สึกว่าเธอหายไปหรอก ผมทำผิดอะไรนักถึงต้องไปขอโทษ หากผมทำให้เธอโกรธเธอเองก็ทำให้ผมโกรธแทบบ้าเหมือนกัน ชอบทำตัวราวกับเพิ่งเป็นเจ้าสาวมาหมาดๆ โธ่ เราแต่งงานกันมาสามสิบปีแล้วนะ ผมจะไม่ไปง้อเธอ และจะนอนเสียที ในเมื่อผมนอนคนเดียวโดยไม่มีเธอมาเป็นอาทิตย์แล้ว ดังนั้นผมก็ทำได้ไปจนตาย

ทำไมที่นอนมันยับเละตุ้มเป๊ะอย่างนี้ เพราะผมปล่อยมันไว้อย่างนี้เอง ไม่ได้จัดที่นอนเพราะไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมต้องทำ พอเราไปนอนมันก็เป็นเหมือนเดิม จัดที่นอนดึงผ้าปูเตียงเป็นสิ่งที่เสียเวลาอย่างที่สุด เหมือนอย่างกับการรีดชุดนอนก่อนเข้านอนนั่นเลย ถ้าผมไม่ห้ามเธอไว้เอคงจะรีดกางเกงในผมไปด้วย ผมเข้านอนแล้ว นอนตะแคงขวาเพราะว่าไม่อย่างนั้นผมจะฝันร้าย ถ้าผมฝันเห็นเธอก็แปลว่าผมคิดถึงเธอ ไม่ไม่สิ ต้องไม่ฝันถึงเธอ ผมจะแคร์เธอแล้ว เธอจะทำอะไรก็เรื่องของเธอ ในเมื่อเธอจากไปเองเธอก็ย่อมรู้ว่าจะกลับมาอย่างไร อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องทนฟังเสียงเธอมาเป็นอาทิตย์แล้ว เสียงบ่นพึมพำงึมงำ เสียงคร่ำครวญติติงต่างๆนานา

เสียงอะไรหวื่อๆๆๆ แถวหัวผมนี่ ยุงแน่ๆเลย แวมไพร์ตัวนี้อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เมื่อวาน “แก เจ้าสัตว์ประหลาดดูดเลือด ไปให้พ้นเลย ออกไปจากห้องฉันนะ ถ้าแกยังมากวนฉันอยู่ฉันจะฆ่าแกแน่” ตั้งแต่กลับจากอินเดียคราวนั้นผมตั้งปณิธานว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแม้แต่แมงตัวเล็กๆ แต่ถ้ามันมารบกวนผมหละก็เป็นอันโมฆะได้ และลืมที่ฮินดูบาบาสอนไว้ว่าไม่มีเทคโนโลยีใดในโลกที่จะสร้างเซลยุงตัวเล็กๆได้นั่นไปเลย บาบาโน้มน้าวใจผมมากแต่เจ้ายุงนี่กลับทิ้งโอกาสนั่น “ออกไปให้พ้น นี่ฉันเตือนแกครั้งสุดท้าย ฉันจะนอนแล้ว” ถ้าฉันไปทำงานสายอีกแค่ครั้งเดียว ผมว่าเจ้านายบ้าบอนั่นต้องมาถามไถ่ชีวิตส่วนตัวของผมแล้วจะพยายามสั่งสอนแนะนำผมว่าต้องปฏิบัติกับชีวิตครอบครัวอย่างไรแน่ เขาจะคิดว่าผมมีปัญหาเพราะไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่น ผู้ชายไม่ได้เหมือนแกไปซะทุกคนหรอกเจ้าคาสโนว่า นี่ไม่ใช่เรื่องของแก ถ้าฉันไปสายก็ไล่ฉันออกสิ มันจะเจ็บใจน้อยกว่าที่ต้องพูดคุยกับแกราวกับแกเป็นพ่อฉันเสียอีก

แกยังอยู่ไหมเจ้ายุง แกจะทำอะไรทำเงียบๆนะ เสียงหวื่อๆๆๆๆนี่มันฆ่ากันชัดๆ เสียงนี่ทำให้ฉันคิดถึงภรรยาที่พูดไม่รู้จักหยุด ถ้าเสียงเธอเงียบลงกะทันหันฉันจะกังวลทันทีว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ ตอนทำอาหารก็พูด ล้างจานก็พูด รีดผ้าก็พูดดูทีวีกันอยู่ก็พูด และแกคงจะไม่เชื่อว่าแม้กระทั่งตอนเราร่วมรักกัน มันยากมากที่จะทำเป็นไม่สนใจการซุบซิบนินทาหรือบ่นนั่นบ่นนี่ขณะเราทำกิจกรรมกันอยู่ แกเข้าใจใช่ไหมเจ้ายุง

นี่หยุดเถอะ ฉันไม่อยากฆ่าแก แกจะเอาอะไรจากฉันนัก ฉันไม่ใช่คนอ้วนท้วนที่แกมองหาหรอกนะ ฉันมีเลือดหรือไขมันให้แกไม่พอหรอก ตอนฉันแต่งงานเธอสวยมาก สะสวยราวกับเหยือกน้ำบริสุทธิ์จากลำธาร ส่วนฉันก็เป็นหนุ่มเต็มตัวพอเหมาะพอดีและมั่นใจในตัวเอง แกดูฉันตอนนี้สิราวกับแท่งไม้แบนๆ นี่ถ้าฉันสูงกว่านี้เขาคงเอาฉันไปปักเป็นเสาธงแล้วหละ ส่วนเธอตอนนี้กลายเป็นกระสอบแป้งไปแล้ว ถ้าแกเจอเธอแกบอกเธอไปเลยว่า “ไม่ต้องเดิน คุณกลิ้งไปจะเร็วกว่า”

แกจะไปหาเธอก็ได้นะ แล้วบอกเธอว่าแกเจอฉัน ถ้าแกเล่าว่าฉันลำบากแค่ไหนที่อยู่คนเดียวค่ำคืนโดดเดี่ยวแค่ไหนเธอจะยิ่งมีความสุขที่ได้ฟังฉันรู้จักเธอดี แกไม่รู้หรอก เธอมีความสุขบนความระทมทุกข์ของฉัน แกออกไปทางหน้าต่างนี้นะ เลี้ยวขวาแล้วบินตรงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแกเห็นป้ายถนนบาบารอสให้บินเข้าไปเกาะแท็กซี่ที่เปิดหน้าต่างสักคัน พอเห็นรูปปั้นอาตาร์เติ์ร์กแกออกจากแท็กซี่แล้วเลี้ยวขวา เข้าซอยเล็กๆไปที่บ้านไม้เลขที่ สามทับสี่ นั่นคือบ้านของแม่เธอ ตอนนี้เอคงนอนหลับอยู่ ไปปลุกเธอซะแต่อย่าบอกว่าฉันส่งแกมา ไม่อย่างนั้นแกถูกทรมานแน่ ระวังตัวด้วยเพราะแกจะเป็นสายลับจากฝ่ายตรงข้ามของเธอ เธอจะบังคับให้แกพูด เธอจะกลายเป็นนางแม่มดใจร้ายเชียวหละเวลาที่เธอเจ็บปวด แกไม่รู้จักเธอแต่ฉันรู้ดี

แกอ่านตัวหนังสือออกไหมเจ้ายุง แกจะไปรู้จักชื่อถนนชื่อซอกซอยได้อย่างไร ได้เรียนหนังสือไหม มันไม่สำคัญหรอกเธออ่านออกเขียนได้เหมือนกันแต่แล้วไงหละ ฉันไม่เคยเห็นว่าเธออ่านหนังสือสักครั้ง เที่ยวบอกใครต่อใครว่าเธอเคยเป็นประธานชมรมวรรณกรรมสมัยอยู่มหาวิทยาลัย โกหกกันชัดๆ มีแต่ฉันเท่านั้นที่รู้ว่าเธอไม่มีเวลาจะอ่านอะไรทั้งนั้นเพราะมัวแต่พูด พูด พูดไม่หยุดไม่หย่อน ถ้าคุณไม่อ่านไม่เป็นไรแต่อย่ากวนคนที่เขาอยากอ่านหนังสือสิ ฉันต้องแอบเอาหนังสือเข้าไปในห้องราวกับมันเป็นแก้วเบียร์ แอบไว้ในเสื้อโค๊ทไม่ก็ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ซุกในกระเป๋ากางเกงเข้าไป เธอวิพากษ์วิจารณ์หนังสือที่ฉันอ่านด้วยนะเอ๋ย ว่าทำไมฉันถึงซื้อหนังสือเกี่ยวกับชีวิตเพศสัมพันธ์ของมดหรือประวัติศาสตร์การเมืองของฮิตติมาอ่าน จะให้ฉันตอบว่าอะไรหละ ฉันชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ ทีเธอใช้เงินและเวลากับการซื้อนั่นซื้อนี่และไปทำอะไรกินกับพวกเพื่อนๆของเธอฉันยังไม่ว่าเลย หนังสือของฉันมีคุณค่านะ แกคิดอะไรออกไหมเจ้ายุง เธอเป็นศัตรูของหนังสือไงหละ ผู้เล็ดรอดมาจากยุคเมลดิวานั่นเลย

แกมองดูฉันสิเจ้ายุง แกดูจะเป็นเด็กสาวที่ดีคนหนึ่ง ฉันมองไม่เห็นแต่อย่างน้อยเสียง หึ่งๆนั่นก็ไม่กวนใจฉันอีกแล้ว ฉันไม่หนีแกไปไหนแล้วแกจำไว้นะไม่ว่าแกจะทำอะไรแกต้องทำให้สามีแกอยู่กับบ้าน ฉันยังไม่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวของยุงมาก่อน แต่ฉันสัญญาว่าฉันจะหามาอ่านในเร็ววัน ขอฉันพูดซ้ำอีกทีว่าทำอะไรก็ได้ให้สามีแกอยู่ติดบ้าน ฉันเริ่มออกไปใช้เวลาเตร่นอกบ้านเพราะผู้หญิงคนนี้ เธอไม่เคยให้ฉันได้พักผ่อนหย่อนใจที่บ้านเลย ฉันควรทำอย่างไรหละก็ออกไปเจอเพื่อนฝูงของฉันไง เริ่มจากเล่นพนันเล็กๆน้อยๆ เธอทำให้ฉันเข้าไปพัวพันกับสิ่งนี้ แล้วฉันก็กลับบ้านดึกขึ้นทุกที มันเป็นวงจรอุบาท ยิ่งดึกเท่าไรฉันยิ่งอยากกลับดึกมากขึ้นกว่าเดิม

แกคงจะพอรู้ว่าอาการเมาเป็นอย่างไร แกเคยเมาไหมเจ้ายุง ถ้าเกิดว่าแกไปกัดดูดเลือดคนเมาเข้าแกก็จะเมาตามใช่ไหม ไม่เหมือนคนฉันไม่เชื่อหรอกว่าเวลาดื่มเหล้าเบียร์แล้วคนจะลืมปัญหาต่างๆของตัวเอง ฉันดื่มเพื่อจะได้ลดความมีเหตุมีผลของตัวเองลงแต่ไม่ใช่ความทรงจำ มันดีที่ได้ทำตัวบ้าบอบ้างบางเวลาเพราะคนรอบข้างต่างก็จะทนกับพฤติกรรมของคุณได้ หากคุณปกติไม่เมาคุณจะทำอะไรแบบนั้นหรือพูดแบบนั้นไม่ได้หรอก มันจะดีกว่าหากคุณเมาซะแล้วทำตัวเหมือนไก่ไร้หัว ผมเองก็อยากทำตัวไม่ต้องแบกความมีเหตุมีผล ไม่ต้องรับผิดชอบใดใดไม่ต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมา พอตื่นมาอีกวันหนึ่งไม่ต้องรู้สึกบาปกรรมที่มีต่อใคร การไม่ต้องรับผิดชอบอะไรคือการเป็นอิสระโดยแท้ การดื่มแอลกอฮอร์ทำให้เรารู้สึกนั้น ฉันจูบผู้หญิงคนหนึ่งที่บาร์ด้วยนะ ทั้งที่ไม่รู้จักกัน หล่อนถอดรองเท้าแล้วเต้นรำอย่างสนุกสนานอยู่กลางร้าน ฉันถือรองเท้าสีฟ้าของหล่อนแล้วรอให้หล่อนมาหาฉันเพื่อขอรองเท้าคืน ฉันจูบไปที่ริมฝีปากนั่นโดยไม่รอช้า หล่อนก็ไม่ขัดขืนแต่อย่างใด กลับชอบซะอย่างนั้น จนกระทั่งหล่อนนึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกไม่ควร หญิงสาวอายุราวยี่สิบกว่าๆจูบกับชายวัยห้าสิบกว่าปี ฉันส่งรองเท้าคืนหล่อนแล้วเดินออกจากบาร์นั้น เช้าวันต่อมาฉันจำได้สองอย่างคือริมฝีปากรสชาติเปปเปอร์มินต์กับรอเท้าเบอร์สามสิบเจ็ด ต่อมาฉันหยิบหนังสือของเช็กโควมาอ่านเรื่อง “จุมพิต” แล้วก็ร้องไห้เมื่ออ่านจนจบอีกครั้ง ชายคนหนึ่งถูกหญิงสาวจุมพิตในความมืดเพียงครั้งเดียว แต่เขาใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อใฝ่หาเจ้าของจูบนั้นจนชั่วชีวิต แกเข้าใจความรู้สึกนั้นไหมเจ้ายุงน้อย แกเข้าใจความรักไหม การอยากได้ความรัก ความปรารถนาที่จะมีใครสักคนมาใส่ใจเยียวยาเราจากความโดดเดี่ยวลำพังอันเป็นโรคติดต่ออย่างหนึ่ง

หรือว่าความรักเป็นสิ่งที่มนุษย์เราเอามาพูดให้เกินจริง บางทีมันอาจไม่เป็นความจริงเป็นแค่ส่วนหนึ่งในเพื่อวิวัฒนาการเท่านั้น

แกหยุดกัดฉันเสียทีเจ้ายุง ฉันกำลังพูดถึงความรักในใจฉันกำลังคร่ำครวญกับความทรงจำเก่าๆแต่แกกลับสำราญกับอาหารเช้ายามรุ่งสางนะ แกพอได้แล้วหละ เว้นวรรคจากการดูดเลือดฉันบ้าง แกถามฉันใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง เมียฉันเริ่มต่อว่าต่อขานฉันในทุกปัญหา ก็เหมือนกับผู้หญิงทุกคน เสียงดังขึ้นเรื่อยๆราวกับเสียงแตรรถบรรทุก ดังไปถึงห้องข้างบน วันอังคารที่แล้วเธอก็จากไปและไม่เคยโทรศัพท์มาถามฉันเลย แต่ฉันก็รู้นะว่าเธอเป็นห่วงฉันตลอดเวลา จะให้เธอห่วงใครหละ เราไม่มีลูกด้วยกันให้เธอต้องห่วงนอกจากฉันนี่หละ ฉันบอกกับเธอไปตั้งกี่ครั้งว่าไปหาหมอกันเถอะ มันอาจเป็นแค่ปัญหาทางกายภาพเล็กน้อย หมอเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ เราไปด้วยด้วยกัน เธอตอบว่า ไม่ ไม่มีทาง หาว่าฉันกล้าดีอย่างไรที่บอกให้เธอจะไปถลกกระโปรงให้ชายอื่นดู ฉันบอกว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นแม่ยอดชีวี หมอจะมาอยากเห็น...ของคุณไปทำไม นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำ และถ้าหมอเขาต้องดูตรงนั้นจริง สำหรับคนเป็นหมอตรงนั้นมันก็เพียงส่วนหนึ่งของร่างกายคุณ หมอจะมองร่างกายที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อ” เธอเอาแต่บอกว่า ไม่เอา ไม่เอา เธอจะแก้ปัญหาด้วยวิธีของเธอเอง เริ่มจากไปหาหมอดูที่อยู่ในตึกเดียวกัน จนกระทั่งเธอตระหนักได้ว่าการหยดตะกั่วลงในน้ำเย็นแล้วแปลความหมายจากหลุมนูนๆบนก้อนตะกั่วนั้นเป็นการเปล่าประโยชน์ เธอก็หันไปหาอิหม่าม เริ่มอ่านและท่องคำต่างๆในศาสนา ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ ละหมาดวันละห้าครั้ง ไปสุเหร่าที่สหายของพระศาสดาอาจจะถูกฝังอยู่ เธอหยุดร่วมรักกับผมแต่มีเพศสัมพันธ์เพื่อวัตถุประสงค์แห่งการมีลูก ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ฉันพูดกับเธอว่า “เมียสุดที่รักของผม เราไปปรึกษาหมอกันเถิด คุณยังละหมาดกราบไหว้ขอพรพระเจ้าเหมือนเดิม แต่เราต้องทำตามเหตุตามผลที่สมควร” ไม่เลยเจ้ายุงเอ๋ย ฉันโน้มน้าวเธอไม่สำเร็จ เธอยืนกรานจะไม่ทำตามที่ฉันขอร้อง

ให้ฉันพูดให้จบนะเจ้ายุง ยังมีเรื่องที่ฉันจะเล่าอีกไม่มีวันจบ ถ้าจบชีวิตก็จบเช่นกัน ชีวิตจะมีความหมายอะไรถ้าปราศจากความทรงจำ ลืมเรื่องงานของฉันไปได้เลย ฉันจะไม่กลับไปทำงานห่านั่นอีกแล้ว ฉันทำอยู่ที่นั่นมาสามสิบห้าปีแล้วแต่ไม่เคยได้เลื่อนตำแหน่งสักครั้ง เจ้านายคนใหม่ของฉันอายุอ่อนกว่าฉันเป็นสิบปี ฉันก็หวังว่าตัวเองจะเกษียณเร็ววันนี้เสียที เลยไม่สนใจงานหรอก อีกไม่กี่เดือนฉันก็จะเป็นอิสระแล้ว ต่อจากนั้นปัญหาที่แท้จริงก็จะอุบัติขึ้น กลางคืนหรือกลางวันจะไม่ต่างกัน ในบ้านหลังเดิมกับห้องที่แออัดนี้ ฉันจะเล่นซ่อนหากับเธอ แกว่าจะมีทางอื่นไหมหละเจ้ายุง ชีวิตฉันมันโหดร้ายนักและฉันทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ฉันร้องไห้ต่อหน้าเพื่อนๆของฉัน พวกมันไม่เข้าใจหรอก ฉันเล่าเรื่องปู่ของฉันให้พวกนั้นฟัง ฉันพูดว่าพอคนเราแก่ตัวไปความโดดเดี่ยวเดียวดายจะมาเกาะที่บ่าเรา เหมือนหมอกทึบก้อนใหญ่ๆ ยิ่งเราหนีมันจะยิ่งแผ่กระจายและปิดกั้นทางออกไม่ให้เราเห็น ฉันร้องไห้ออกมาแล้วค่อยรู้สึกดีขึ้น พวกนั้นคิดว่าฉันร้องไห้เพราะฉันอยู่คนเดียวหาใช่เพราะฉันโดดเดี่ยวอย่างที่เป็น

แกดูสิเจ้ายุง นี่มันตีสามแล้ว ถ้าฉันหลับไปตอนนี้ อย่างเช้าสุดที่ฉันจะตื่นได้ก็สิบเอ็ดโมง หรือว่าฉันจะโทร.ไปหาเธอแล้วบอกให้เธอโทรมาปลุกฉันตอนเจ็ดโมงดี ไม่มีทางหละ ถ้าฉันทำอย่างนั้นก็เท่ากับฉันยอมแพ้เธอ เธอจะคิดไปว่าฉันอยู่คนเดียวไม่ได้ ใช่แล้วหละหากจะดื้อดึงต่อฉันก็จะทำอย่างนั้น ฉันอยู่ได้โดยไม่มีเธอ โดยไม่คิดถึงเธอ เธอก็จะกลับมาเองโดยที่ฉันไม่ต้องขอร้อง ในเมื่อเธอจากไปเองเธอย่อมหาทางกลับมาเอง ฉันจะรออยู่ที่นี่แหละ ถ้าฉันไม่มีเมียฉันก็หาเพื่อนคุยได้มากมาย อย่างคืนนี้ฉันก็เจอแกถ้าแกไม่กัดฉันเราก็จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ใช่ไหมเจ้ายุง เฮ้ย แกยังอยู่ไหม แกไปไหนแล้วสหายน้อยของฉัน แกทิ้งฉันแล้วหรือ แกก็ทิ้งฉันไปอีกคน ทิ้งไปโดยไม่มีเหตุผลเหมือนเมียฉัน

รุ่งเช้าผมทาครีมบางชนิดตามรอยที่ยุงกัดตามหน้า มือและเท้า จากนั้นก็เดินทางไปบ้านแม่ยายผม ขับรถไปพลางเช็ดหน้าเช็ดตาที่แก่ตัวไปครึ่งศตวรรษไปพลาง บอกกับตัวเองว่า “เราแต่งงานกันมาสามสิบปีแต่เธอไม่เคยกัดผมอย่างนี้เลย”

ผมไม่เคยเจอยุงตัวนั้นอีกเลย

>>>>>>>>>><<<<<<<<<<<

03 Ocak 2012

Colors of the Earth (Thai version)

โถงห้องรอของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เด็กหญิงนึกย้อนไปถึงวันที่บิดาพาไปรับแว่นตาจากโรงพยาบาลของรัฐ มันเป็นวันที่อึมครึมไร้สีสัน เธอจำได้ว่าภายในโรงพยาบาลนั้นหนาวเย็น คนแก่ไอโคกครากอย่างน่าสงสาร เด็กเล็กๆร้องไห้ระงมราวกับนี่เป็นวันสิ้นโลกก็ไม่ปาน กลิ่นของยาแรงพอที่จะทำให้เธอหวั่นกลัว หน้าตาเศร้าสร้อยละห้อยหาของผู้ป่วยที่มารอรักษาก็ยิ่งทำให้น่าตื่นตระหนก ท่าทางผู้ป่วยที่ขยับเขยื้อนเชื่องช้าและท่าทีว่องไวของหมอนั้นสร้างให้เกิดภาพที่ขัดแย้งกันนัก ที่ผนังห้องด้านหนึ่ง มีภาพพยาบาลที่เอานิ้วมือหนึ่งนิ้วมาแตะที่ริมฝีปาก มีข้อความว่า “กรุณาอย่าส่งเสียงดัง” ไม่มีพยาบาลที่ไหนจะสวยอย่างคนในรูปนั้นหรอก เด็กหญิงยังจำได้ถึงสมุดปกแดง ที่บันทึกการดูแลสุขภาพที่ผู้เป็นพ่อรับมาจากประกันสังคม เนื่องจากพวกเขาฐานะยากจน สิบปีมาแล้วสินะ ตอนนั้นเธออายุได้แค่เจ็ดขวบและเพิ่งเข้าโรงเรียนประถมศึกษาปีแรก

ครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ในชุมชนเล็กๆกลางเมืองใหญ่ ในบ้านหลังเล็กที่มีสองห้อง บ้านหลังนี้พวกเขาสร้างมันขึ้นด้วยตัวเองบนเนื้อที่ซึ่งไม่ใช่ของพวกเขา จนกระทั่งหลายปีผ่านไปที่ดินผืนนั้นก็ยังคงมิใช่ของพวกเขา อยู่อย่างหวาดกลัวว่าสักวันหนึ่งตำรวจหรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะมาตรวจพร้อมกับเอกสารราชการ ที่แสดงสิทธิ์ในการรื้อบ้านที่เป็นทั้งชีวิตและความหวังของพวกเขา พ่อเคยบอกเธอว่าหากวันใดที่บ้านถูกรื้อถอนออก พวกเขาต้องจ่ายค่าชดเชยให้ แม่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักแต่ก็เก็บเอาไว้ในใจ แม่ไม่ได้เรียนมามากนักจึงไม่คิดว่าตนเองจะแสดงความคิดเห็นอะไรได้ แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วเธอจะมีเหตุมีผลกว่าผู้เป็นสามีเสียอีก

พ่อของเด็กหญิงทำงานในโรงงานผลิตรถยนต์ เอาแต่ฟังเรื่องราวของคนรวยในเมืองและเชื่อตามที่ได้ยินมา การมองโลกในแบบของพ่อจึงแตกต่างไปจากแม่ แม่ไม่เคยสนใจฟังเรื่องแบบนั้น แม่ทำตัวเป็นดังก้อนหินที่ถูกทิ้งไว้ใต้สะพาน แม่เชื่อในสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากชนบท เมืองใหญ่นี้ไม่มีอะไรให้เธอเรียนรู้ แม่เกลียดมันและเกลียดสีทึมๆของมัน

วันแรกที่เธอไปโรงเรียนก็เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ เธอจำได้ว่าดีใจ แต่หลังจากสองถึงสามสัปดาห์ความสุขก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลกับสิ่งที่อยู่บนกระดานดำ เธอมองไม่เห็นรายละเอียดในสิ่งที่อยู่บนนั้น ตัวอักษรทุกตัวมันเหมือนกันหมด เพื่อนในห้องอ่านออกเสียง ป.ปลา แต่เธอเห็นเป็นตัว บ.ใบไม้ บางทีก็เป็นตัว ข.ไข่ พ่อของเธอโมโหมากเวลาที่เธอตอบไม่ถูกต้อง เธอทำอะไรไม่ได้และรู้สึกว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่แต่เธอตัวเล็กเหลือเกิน

วันหนึ่ง คุณครูเชิญแม่เธอไปพบที่โรงเรียน แม่เดินฝ่าความหนาวเย็นในยามเช้าที่มีหมอกและฝนตกปรอยๆไปพบครู แม้จะไม่เคยไปที่โรงเรียนเลยสักครั้งแต่แม่ของเธอก็เคารพคุณครูอย่างนอบน้อม อย่างที่คนต่างจังหวัดพึงมี พวกเขาอพยพมาจากด้าว เดินทางมาไกลเพื่อมาอยู่ที่นี่ จากชีวิตที่มีความรื่นรมย์สุขีมาสู่เมืองแห่งความโลภ

ชีวิตในวัยเยาว์ของเด็กหญิงจึงเป็นสีเทา บ้านเมืองเป็นสีเทา แทบทุกอย่างจะเป็นสีเทา

เธอได้แว่นตาอันแรกตอนเมื่อเธออายุได้เจ็ดขวบ มีกรอบสีดำหนาๆและเลนส์ที่หนาไม่แพ้กัน ครั้งแรกที่ใส่เธอรู้สึกว่ามันครอบไปทั้งหน้า แต่เธอก็ค่อยๆดูไปรอบๆ

“มันดูดีขึ้นค่ะ” เธอบอกกับจักษุแพทย์ที่สวนแว่นตากรอบสีดำหนาคล้ายๆกับที่เธอสวมอยู่ รู้สึกดีขึ้นเป็นคนสำคัญขึ้น สำคัญเทียบเท่ากับคุณหมอเพราะเธอสวมแว่นตาแบบเดียวกับที่หมอสวมเชียวนะ
หมอให้เธออ่านตัวอักษรบนแป้นที่อยู่ห่างออกไปสาม สี่เมตร เธออ่านได้เกือบทั้งหมดเลย
หมอบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็โอเคนะครับ” แล้วตะโกน “คนต่อไป”
ปีแรกกับแว่นตาคู่นี้มันช่างสดใส เธอชอบสวมมันเพราะมันทำให้รู้สึกว่าเป็นคนสำคัญกว่าคนรอบข้าง นอกจากนั้นเธอยังรู้สึกว่าสีสันรอบตัวดูสว่างสไวชัดเจนกว่าที่เคยเห็นมา แต่เมืองใหญ่ที่เธออยู่ก็ยังคงเป็นสีเทา ชีวิตก็ยังคงลำบากเหมือนเดิม แม่บอกให้เธอตั้งใจเรียนเพื่อโตมาจะได้เป็นครู แต่เธอยังไม่รู้ว่าการเป็นครูมันหมายถึงอะไร เธอชอบที่จะตะโกนร้องส่งเสียงเฮฮา และวิ่งเล่นมากกว่า
พออายุได้สิบขวบ เธอต้องเปลี่ยนแว่นอันใหม่ พ่อลางานภาคเช้าพาเธอไปโรงพยาบาล คราวนี้ไม่ใช่หมอคนเดิมแต่ที่เหมือนคนเดิมคือแว่นตาที่หมอสวมอยู่ แค่บางกว่าและกว้างกว่าเล็กน้อย เธออยากได้กรอบแว่นตาสีฟ้าแต่ก็กลัวว่ากรอบสีฟ้าจะแพงกว่าสีดำที่เธอเคยใช้ พ่อคงจะอารมณ์เสียได้ด้วย เด็กหญิงจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา และเดินกลับบ้านพร้อมกับแว่นตากรอบสีดำหนาๆเหมือนเดิม ไม่มีใครสังเกตได้ว่าเธอเปลี่ยนแว่นอันใหม่ ไม่มีใครเห็นว่าเธอโตขึ้น

วันปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธอสำเร็จการศึกษามัธยมปลาย ได้รับใบประกาศและนำไปให้พ่อเธอดู แว่นตาเปรียบดังสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จนี้ เธอไม่เคยรักใครแบบหนุ่มสาว และไม่เคยถูกรักจากเด็กผู้ชายคนใด กรอบแว่นหนาๆป้องกันเธอไว้เฉกเช่นเดียวกับกำแพงสูงของปราสาทที่ป้องกันพลเมืองจากอริราชศัตรูภายนอก ไม่มีกุหลาบดอกใดสามารถผ่านกำแพงสีดำของเธอเข้ามาได้ ไม่มีตาคู่งามใดจะมองทะลุมาสู่ตาของเธอ ดวงตาที่อยู่เบื้อหลังเลนส์คู่หนานั้น ประกันสังคมประสบความสำเร็จอย่างสูงในการป้องกันดวงตาคู่สวยของเธอให้พ้นจากการจ้องมองของเด็กหนุ่มทั้งหลายแหล่

ช่วงปิดภาคฤดูร้อน สาวน้อยขออนุญาตผู้เป็นพ่อเพื่อไปทำงานเป็นลูกจ้างในร้านขายยาที่อยู่ติดกับโรงเรียน สิ่งที่เธอปรารถนาคือแว่นตาอันใหม่ ที่ไม่ใช่มาจากประกันสังคม แต่มาจากน้ำพักน้ำแรงตนเอง ตอนแรกพ่อเธอปฏิเสธแต่สักพักก็เลิกคิดกังวล และอนุญาตให้เธอไปทำงานในที่สุด ทำงานในร้านขายยาไปได้สามเดือนก็มีเงินพอสำหรับแว่นตาอันใหม่

ในห้องรอที่เย็นฉ่ำ เก้าอี้ถูกคลุมด้วยปลอกผ้าสวยงาม เธอนั่งรอจนกว่าผู้ป่วยในห้องตรวจจะออกมา ผนังห้องทาด้วยสีฟ้า โต๊ะของพนักงานต้อนรับคลุมด้วยผ้าสีเขียวอ่อนสบายตา แล้วยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้คละคลุ้งไปทั่วห้อง แม้จะหาต้นตอของความหอมไม่พบ เท่าที่เห็นก็มีเพียงกระถางดอกไม้ทำจากพลาสติกขนาดย่อม บนโต๊ะเล็กๆข้างตัวเธอ ลองก้มลงดมดูเล็กน้อยแต่ก็เลิกทำ เพราะไม่อยากขายหน้าต่อหน้าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงนั้น และเนื่องจากแว่นตาหนาเตอะที่ล้าสมัยนี้ เธอเกรงว่าเจ้าหน้าที่จะคิดว่าเธอตาบอดหรือเกือบจะบอด จึงหยิบนิตยสารจากตะกร้าที่อยู่ข้างๆมาเปิดอ่าน อ่านไปได้ไม่เท่าไรก็เบื่อขึ้นมา ในตอนนั้นเธอหารู้ไม่ว่า มิใช่เนื้อเรื่องหรอกที่ทำให้เธอเบื่อ นั่งรอต่ออีกสักพักหมอก็ปรากฎกายออกมาจากห้องด้วยรอยยิ้ม หมอใส่แว่นตาเช่นกันแต่เป็นแว่นตาที่ไม่มีกรอบ

“หมอมองดูโลกอย่างไม่ต้องมีกรอบ” เธอบอกกับตัวเอง อย่างตะลึงพึงเพริศ
ใช้เวลาห้านาทีในการตวจวัดสายตา จักษุแพทย์เสนอให้เธอลองใช้เลนส์ขนาดต่างๆที่เหมาะกับสายตาเธอ เธอเพิ่งค้นพบว่าตาสองข้างของเธอมีขนาดสั้นยาวไม่เท่ากัน เป็นเวลากว่าสิบปีที่เธอใช้แว่นตาที่สองข้างมีขนาดเท่ากัน หมอท่านนี้บอกว่านั่นทำให้สายตาของเธอแย่ลง อย่างไรก็ตามสายตาเธอทั้งสองข้างก็แตกต่างกันมากอยู่ดี

คุณหมอหยิบเลนส์ขนาดต่างกันสองชิ้นมาให้เธอลองใช้ “อันนี้สำหรับตาซ้าย และนี่สำหรับตาขวานะ” หมอบอก และเธอทำตามแต่โดยดี

สิ่งแรกที่เธอมองเห็นคือ ดวงตาสีเขียวเข้มของคุณหมอ เธอตกใจกับสิ่งที่เห็น ก่อนหน้านั้นเธอไม่รู้เลยว่ามีสีเขียวแบบนั้นอยู่ในโลกนี้ด้วย เธอถือเลนส์ด้วยสองมือเดินไปที่หน้าต่างช้าๆแล้วทาบเลนส์ลงที่ตาสองข้าง มองออกไปยังนอกหน้าต่าง เห็นคลื่นแตกกระเซ็นในทะเลที่อยู่ไกลออกไป แต่มันชัดเจนเหลือเกิน มองดูเหมือนสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหว บางครั้งก็เคลื่อนตัวเข้าหาเธอ ขนาดใหญ่ขึ้นและยังเป็นประกายระยิบระยับ

“ทะเลมีชีวิต” เธอคิดในใจ

มองออกไปเห้นต้นไม้ นกท้องฟ้า และผู้คนที่เดินขวักไขว่บนท้องถนน สิ่งต่างๆดูแปลกใหม่สำหรับเธอ ราวกับว่าเธอหายจากการตาบอด ได้มองดูสิ่งต่างๆอย่างพินิจพิเคราะห์เป็นครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้เห็นสีสันที่แท้จริงรอบตัวเธอ คิดไม่ออกว่าจะบอกกับหมออย่างไรดี เลยรอจนกว่าหมอจะเริ่มพูดอะไรก่อน เธอยิ้มร่าด้วยรู้สึกที่จะได้เห็นสิ่งสวยงามอีกมากมาย ซึ่งสวยกว่าที่เคยเห็นมาก่อน ด้วยเลนส์สองอันนี้ในมือเธอ

คุณหมอกลับมาที่เธอแล้วถามว่า “มองเห็นชัดขึ้นไหมจ๊ะ”

ไม่อาจสรรหาคำใดมาตอบ คำว่า “ชัดเจนขึ้น” ยังอธิบายไม่ครอบคลุม หากที่เห็นนี้คือสีที่แท้จริง แล้วสิบปีที่ผ่านมาหละ
“ค่ะ” เธอตอบอย่างรีบเร่ง

หมอพูดว่า “อย่างนั้นก็โอเค” ลังเลกลัวว่าจะทำให้เธอผิดหวัง

“หนูวางเลนส์ทั้งคู่ไว้ที่นี่ แล้วไปเลือกกรอบนะ”

“พอจะเป็นไปได้ไหมคะ ที่จะได้แว่นตาวันนี้” เธอถามอย่างช้าๆ และไม่มั่นใจในน้ำเสียง

คุณหมอหยิบเลนส์ไปจากมือเธอแล้วตอบว่า “ได้สิจ๊ะ ถ้าเธอรอสักสองชั่วโมง หมอจะให้ช่างเขาทำให้ทันเวลา”

เธอยิ้มออกมาและตอบว่า “หนูจะรอค่ะ”

หลังจากเลือกกรอบแว่นตาขนาดเล็กและเป็นแบบโปร่งแล้ว สาวน้อยก็ออกมานั่งรอที่เก้าอี้ตัวเดิมแล้วหลับตาไว้ตลอดสองชั่วโมงนั้น คิดฝันไปว่าวันเก่าๆในชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไร หากมีสีแบบที่เธอเพิ่งเห็นมากับตา เธอเก็บภาพทะเลสีฟ้าครามสดใสไว้ในใจ ต้นไม้ข้างนอกกำลังรอเธออยู่ เธอได้กลิ่นในห้องนั้นแรงขึ้น และเสียงที่ดังชัดขึ้น รู้สึกว่ามีตัวตนมากขึ้น ทั้งที่ยังไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร เธอไม่ยอมลืมตาขึ้นจนกว่าจะได้แว่นตาอันใหม่

Written by A.A.
Translated by J.A.